ตามรอยเสด็จฯ ในหลวงรัชกาลที่ 9 จากหาดใหญ่สู่มาเลเซีย

ตามรอยเสด็จฯ ในหลวงรัชกาลที่ 9 จากหาดใหญ่สู่มาเลเซีย
ตลอดเกือบหนึ่งปีเต็มหลังการเสด็จสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ปวงชนชาวไทยทั้งผองยังไม่คลายจากความโศกเศร้าต่อการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่นี้ การท่องเที่ยวมาเลเซียประจำประเทศไทย ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช พระผู้ทรงสถิตในดวงใจไทยนิรันดร์ จึงขอนำเสนอการเดินทางตามรอยเสด็จฯ เมื่อครั้งเสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศมาเลเซีย ประเทศเพื่อนบ้านที่พระองค์เสด็จเยือน และสร้างคุณูปการอเนกอนันต์แก่ประชาชนทั้งสองประเทศ เพื่อให้ชาวไทยได้น้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ ในหลวงรัชกาลที่ 9 ซึ่งมิได้เป็นเพียงพระมหากษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ แต่ยังเป็นนักการทูตที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์อีกด้วย โดยการเดินทางตามรอยเสด็จฯ นี้เป็นการเดินทางด้วยรถไฟจากจุดเริ่มต้นที่อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา และเดินทางต่อไปยังสถานที่สำคัญต่างๆ ในประเทศมาเลเซีย ที่พระองค์เคยเสด็จพระราชดำเนินเยือน และยังเต็มเปี่ยมไปด้วยความทรงจำที่ประชาชนทั้งสองประเทศไม่อาจลืมเลือน
สถานีรถไฟบัตเตอร์เวอร์ธ รัฐปีนัง
จากสถานีรถไฟชุมทางหาดใหญ่มุ่งหน้าตรงไปสถานีรถไฟปาดังเบซาร์ จากนั้นต่อขบวนรถไฟฟ้าด่วน ETS ที่สถานีปาดังเบซาร์เพื่อเดินทางต่อไปยังสถานีรถไฟบัตเตอร์เวอร์ธ รัฐปีนัง ที่ครั้งหนึ่งพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชเคยทรงแวะพักเพื่อเดินทางต่อไปยังประเทศสวิตเซอร์แลนด์ อ้างอิงจากพระนิพนธ์ในสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ที่ทรงพระนิพนธ์ถึงการเดินทางไปประทับต่างแดนในระยะยาวของราชสกุล “มหิดล” ว่า “น้องชายคนโตไม่แข็งแรง แม่เลยคิดว่าควรไปอยู่ต่างประเทศที่มีอากาศสบายๆ เสด็จลุงทรงแนะให้ไปสวิตเซอร์แลนด์ …ต้นเดือนเมษายน 2476 แม่กับลูกสามคน พร้อมแหนนและบุญเรือน ก็ออกเดินทางด้วยรถไฟไปปีนัง แล้วลงเรืออเมริกันเพรสซิเดนต์เพียร์ซ ไปขึ้นที่เจนัว และต่อรถไฟไปโลซานน์ …” ปีนังจึงนับเป็นสถานที่แห่งแรกในมาเลเซียที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชเคยเสด็จพระราชดำเนินเยือน
วัดไชยมังคลาราม รัฐปีนัง
จากสถานีรถไฟบัตเตอร์เวอร์ธ นั่งเรือเฟอร์รี่ข้ามไปยังเกาะปีนัง เพื่อชมเมืองที่เต็มไปด้วยศิลปะ วัฒนธรรม และจุดหมายปลายทางสำคัญที่จะพลาดไม่ได้คือ วัดไชยมังคลาราม ซึ่งเป็นวัดไทยที่เก่าแก่ที่สุดในปีนัง สร้างราวปีพุทธศักราช 2388 และมีพระพุทธไสยาสน์ที่ยาวที่สุดในมาเลเซีย เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2505 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถในรัชกาลที่ 9 เสด็จฯ เยือนวัดอันเป็นสายใยเชื่อมโยงไทย-มาเลเซียแห่งนี้ ทรงประกอบพิธีเปิด (ไหมคลุม) ดวงเนตรพระพุทธรูปปางไสยาสน์ และพระราชทานนามพระพุทธรูปองค์นั้นว่า “พุทธชัยมงคล” และพระราชทานย่ามแก่พระภิกษุ 20 รูป พร้อมทั้งทรงบริจาคเงินบำรุงพระอาราม ซึ่งการเสด็จฯ เยือนครั้งนี้ยังคงถูกบันทึกไว้ในความทรงจำของประชาชนในปีนังเรื่อยมาตราบจนถึงปัจจุบัน
วัดพระเชตวัน รัฐสลังงอร์
จากปีนังเดินทางต่อมายังรัฐสลังงอร์ด้วยรถไฟ เพื่อเยี่ยมชมวัดพระเชตวัน วัดที่รัฐบาลไทยร่วมกับรัฐบาลมาเลเซียสร้างขึ้น ในปี 2493 ด้วยเงินบริจาคที่มาจากพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ซึ่งเสด็จฯ มาทรงประกอบพิธียกช่อฟ้าของวัดแห่งนี้ด้วยพระองค์เอง เมื่อปี 2505 ยังความซาบซึ้งและปลาบปลื้มอย่างหาที่สุดมิได้ให้แก่ทั้งรัฐบาลมาเลเซียและพสกนิกรชาวไทยซึ่งอาศัยอยู่ที่นี่ อีกทั้งพระองค์มีรับสั่งให้วัดเชตวันเป็นวัดไทยแห่งเดียวในมาเลเซีย ที่ได้รับพระบรมราชานุญาตให้ประดับตราสัญลักษณ์ประจำพระองค์ซึ่งเป็นพระปรมาภิไธยย่อ ภ.ป.ร. ไว้ที่บนช่อฟ้าด้วย
มหาวิทยาลัยมาลายา กัวลาลัมเปอร์
จากรัฐสลังงอร์นั่งรถไฟต่อไปยังกรุงกัวลาลัมเปอร์ เมืองหลวงของประเทศมาเลเซีย ที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถในรัชกาลที่ 9 เสด็จฯ เยือนเป็นครั้งแรกในปี 2505 ทรงได้รับการต้อนรับจากพระราชาธิบดีอย่างสมพระเกียรติ พร้อมทูลเกล้าฯ ถวายเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นสูงสุดแด่ในหลวงของเราด้วย ในการเสด็จฯ เยือนสหพันธรัฐมาลายาหรือมาเลเซียในปัจจุบัน พระองค์ทรงเยี่ยมชมสถานที่สำคัญต่างๆ รวมทั้งมหาวิทยาลัยมาลายา มหาวิทยาลัยที่เก่าแก่ที่สุดในมาเลเซีย ซึ่งได้รับอิทธิพลจากยุคอาณานิคม ที่ประเทศอังกฤษเข้ามามีส่วนร่วมในการวางรากฐานทางการศึกษา ปัจจุบันมหาวิทยาลัยมาลายาติดอันดับมหาวิทยาลัยชั้นนำของอาเซียน และยังขึ้นชื่อในเรื่องการเป็นศูนย์เรียนรู้และวิจัยด้านเอเชียแปซิฟิกของภูมิภาคอีกด้วย
ที่ราบสูงคาเมรอน รัฐปาหัง
เดินทางต่อจากกรุงกัวลาลัมเปอร์อีกเพียง 200 กิโลเมตรก็จะถึงรัฐปาหัง อีกรัฐแห่งความทรงจำที่ชาวไทยไม่ควรลืม เพราะตลอดระยะเวลา 1 สัปดาห์ของการเสด็จฯ เยือนประเทศมาเลเซียอย่างเป็นทางการครั้งแรกในปี 2505 สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 และพระนางเจ้าสิริกิติ์ได้เสด็จไปยังสถานที่สำคัญต่างๆ รวมถึงที่ราบสูงแคเมอรอน ที่ซึ่งทั้งสองพระองค์ทรงเลือกประทับ ณ สถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติแห่งนี้ ที่ราบสูงแคเมอรอน หรือ Cameron Highlands เป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติชื่อดังของประเทศมาเลเซีย อยู่เหนือระดับน้ำทะเลราว 1,524 เมตร มีทัศนียภาพที่งดงามจากหุบเขาที่เรียงตัวสลับซับซ้อน และหมู่บ้านที่ปกคลุมไปด้วยไอหมอก ด้วยสภาพภูมิอากาศและดินที่ดี คาเมรอน ไฮแลนด์ จึงเป็นแหล่งปลูกพืชผักเมืองหนาวชั้นนำของมาเลเซีย ที่นักท่องเที่ยวสามารถศึกษาหาความรู้ในเชิงเกษตร และยังผ่อนคลายไปกับ ไร่ชา ไร่สตอเบอรี่ หมู่บ้านสไตล์อังกฤษ และสวนดอกไม้นานาพันธุ์อีกด้วย
การท่องเที่ยวมาเลเซียมุ่งหวังว่าการเดินทางตามรอยเสด็จฯ นี้จะช่วยให้ปวงชนชาวไทยได้น้อมระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ที่ได้ทรงเชื่อมสัมพันธไมตรีของทั้งสองประเทศไว้อย่างแน่นแฟ้น และที่สำคัญเราอยากให้สถานที่แห่งประวัติศาสตร์เหล่านี้ได้ช่วยคลายความเศร้าโศกของชาวไทยลงไปบ้างไม่มากก็น้อย
“เมื่อน้อมระลึกถึงพระองค์ท่าน มาร่วมออกเดินทางตามรอยพระยุคลบาทไปในที่ที่พระองค์ท่านเคยเสด็จพระราชดำเนิน สักครั้งในชีวิต”
*****************************************************************
ภาพข่าว 1: วัดไชยมังคลาราม รัฐปีนัง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถในรัชกาลที่ 9 เสด็จฯ เยือนวัดอันเป็นสายใยเชื่อมโยงไทย-มาเลเซียแห่งนี้ ทรงประกอบพิธีเปิด (ไหมคลุม) ดวงเนตรพระพุทธรูปปางไสยาสน์ และพระราชทานนามพระพุทธรูปองค์นั้นว่า “พุทธชัยมงคล”
ภาพข่าว 2: วัดพระเชตวัน รัฐสลังงอร์ วัดที่รัฐบาลไทยร่วมกับรัฐบาลมาเลเซียสร้างขึ้น ในปี 2493 ด้วยเงินบริจาคที่มาจากพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ซึ่งเสด็จฯ มาทรงประกอบพิธียกช่อฟ้าของวัดแห่งนี้ด้วยพระองค์เอง เมื่อปี 2505 วัดเชตวันเป็นวัดไทยแห่งเดียวในมาเลเซีย ที่ได้รับพระบรมราชานุญาตให้ประดับตราสัญลักษณ์ประจำพระองค์ซึ่งเป็นพระปรมาภิไธยย่อ ภ.ป.ร. ไว้ที่บนช่อฟ้า
ภาพข่าว 3: มหาวิทยาลัยมาลายา กัวลาลัมเปอร์ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงเยี่ยมชมมหาวิทยาลัยมาลายา มหาวิทยาลัยที่เก่าแก่ที่สุดในมาเลเซีย ปัจจุบันมหาวิทยาลัยมาลายาติดอันดับมหาวิทยาลัยชั้นนำของอาเซียน และยังขึ้นชื่อในเรื่องการเป็นศูนย์เรียนรู้และวิจัยด้านเอเชียแปซิฟิกของภูมิภาค
………………………………………………………………………………………………………….
องค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวมาเลเซียหรือการท่องเที่ยวมาเลเซียประจำประเทศไทย เป็นหน่วยงานภายใต้การกำกับการของกระทรวงการท่องเที่ยวและวัฒนธรรมประเทศมาเลเซีย การท่องเที่ยวมาเลเซียมีเป้าหมายหลักในการส่งเสริมและประชาสัมพันธ์ประเทศมาเลเซียในทุกระดับ การท่องเที่ยวมาเลเซียได้เติบโตอย่างก้าวกระโดดนับแต่การก่อตั้งและขึ้นมาเป็นอีกหน่วยงานด้านการท่องเที่ยวที่สำคัญในระดับระหว่างประเทศ ในปี 2556 มาเลเซียต้อนรับนักท่องเที่ยว 25.7 ล้านคนคิดเป็นรายได้ 650.4 ล้านบาท ทำให้การท่องเที่ยวเป็นอุตสาหกรรมทำเงินให้กับประเทศใหญ่เป็นลำดับที่ 2 และยังถือเป็นลำดับที่ 6 ของรายได้มวลรวมประชาชาติ
ประเทศมาเลเซียเฉลิมฉลองการก้าวเข้าสู่ปีที่ 4 ของปีแห่งการท่องเที่ยวมาเลเซีย 2014 (Visit Malaysia Year – VMY 2014) ภายใต้ธีม “หนึ่งมาเลเซียที่สุดแห่งเอเชีย” กิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวมาเลเซียได้ดำเนินมาต่อเนื่องกับแคมเปญ MALAYSIA YEAR OF FESTIVALS (MyFEST) 2015 พร้อมธีม “การเฉลิมฉลองแบบไม่มีสิ้นสุด” ที่กระตุ้นเน้นย้ำความหลากหลายแห่งเทศกาลที่เฉลิมฉลองภายใต้สังคมพหุวัฒนธรรม แคมเปญทั้งคู่เปรียบดังปัจจัยหลักที่จะขับเคลื่อนการท่องเที่ยวของประเทศให้ไปสู่ความสำเร็จที่ตั้งเป้าหมายไว้ในการส่งเสริมให้นักท่องเที่ยวจากต่างประเทศเดินทางมาประเทศมาเลเซียได้ตามเป้าหมาย 36 ล้านคนและมีรายได้จากการท่องเที่ยวเป็นเงิน168 พันล้านมาเลเซียริงกิตในปี พ.ศ. 2563 ตามแผนการท่องเที่ยว NKEA (National Key Economic Area).
แผนการท่องเที่ยว NKEA อันเป็นความร่วมมือระหว่างกระทรวงการท่องเที่ยวและวัฒนธรรม ภาครัฐอื่นๆรวมถึงภาคเอกชนยังคงร่วมมือกันพัฒนาเพื่อทำให้มาเลเซียคือจุดหมายปลายทางชั้นนำของนักท่องเที่ยว เป้าหมายที่ตั้งไว้ตามแผนดังกล่าวจะประสบความสำเร็จได้โดยการดำเนินโครงการ Entry Point Projects (EPPs) ทั้ง 12 โครงการภายใต้ธีมทั้ง 5 อันได้แก่ Affordable Luxury (ความหรูหราที่สัมผัสได้); Nature Adventure (การผจญภัยในธรรมชาติ); Family Fun (ความหฤหรรษ์กับครอบครัว); Events (งานเทศกาลสุดอลังหลากหลาย), Entertainment (ความสนุกและบันเทิง), Spa and Sports (สปาและกีฬา); and Business Tourism (การท่องเที่ยวเชิงธุรกิจ).
สอบถามข้อมูลเกี่ยวกับข่าวประชาสัมพันธ์เพิ่มเติม ณัฐินีฐิติ ภิญญาปิญชาน์ (นิกกิ) ฝ่ายประชาสัมพันธ์ การท่องเที่ยวมาเลเซียประจำประเทศไทย ยูนิต 1, ชั้น 3 อาคารซิลลิค เฮาส์ เลขที่ 1-7 ถนนสีลม เขตบางรัก กรุงเทพฯ 10500 โทร: 02 636 3380-3 โทรสาร: 02 636 3384 อีเมล์: Nikki@asialife.co.th เว็บไซต์ http://www.malaysia.travel/th-th/th Facebook: https://www.facebook.com/malaysia.travel.th/