ตั้งเป็นหน้าแรกของคุณ | ADD TO FAVORITES

เวียดนามใน มุมมองของผม !

  เมื่อ: วันเสาร์, เมษายน 11th, 2015, หมวด คอลัมน์, ไม่มีหมวดหมู่

33881 33882 33883 33885 33886 11032137_828093777238891_3111543136617002046_n 11075186_828092903905645_4797752407145500196_n

เวียดนามใน  มุมมองของผม !   

ผมมาเวียดนามครั้งนี้เป็นรอบที่ 3 แล้ว อยากจะบอกว่า มาเมื่อไหร่ก็ประทับใจเมื่อนั้น และโชคคดีที่ผมมีอาชีพสื่อสารมวลชน สายงานหนังสือพิมพ์ จึงมักได้รับโอกาสจากหน่วยงาน หรือไม่ก็องค์กรต่างๆ เชื้อเชิญให้ไปศึกษาดูงานหลากหลายประเทศ อย่างประเทศเวียดนาม ครั้งแรกไปแบบส่วนตัว แต่ 2 ครั้งหลัง ผมได้รับเชิญจากสมาคมนักหนังสือพิมพ์ของเวียดนามให้ไปศึกษาดูงาน รวมแล้วถึง 8 เมือง คือ นครโฮจิมินห์ ดาลัด ดานัง ฮานอย ฮาลองเบย์ ไฮฟอง กว่างนินห์ มัดกว่าง

ล่าสุดระหว่างวันที่ 20-25 มีนาคม 2558 สมาคมนักหนังสือพิมพ์นครฮานอยและนายกสมาคมนักข่าวอีก 4 จังหวัดทางภาคเหนือของเวียดนาม เทียบเชิญคณะกรรมการบริหารสมาคมนักจัดรายการวิทยุโทรทัศน์และผู้สื่อ ข่าวเชียงใหม่ นำขบวนโดย ‘คุณอำนาจ จงยศยิ่ง’ นายกฯสมาคมฯ คุณอุบลนัดดา สุภาวรรณ ผอ.นสพ.ไทยนิวส์ คุณอธิการ ฉัตรวรารัตน์ จากไทยนิวส์  คุณบรรหาร บุญเขต นายกสมาคมหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นเพชรบูรณ์ และ คุณธวัชชัย เอี่ยมศิริรักษ์ อุปนายกฯจากเพชรบูรณ์ รวมทั้งคณะมี 12 ชีวิต

มานครฮานอยครั้งนี้ ถือเป็นวาระพิเศษจริงๆครับ นอกจากศึกษา-ดูงานด้านสื่อ คณะของเรายังได้ร่วมบันทึกความตกลง หรือ MOU ระหว่างสมาคมฯ และหนังสือพิมพ์ไทยนิวส์ รวมทั้งหนังสือพิมพ์เพชรบูรณ์โพสต์ รวม 1 องค์กร กับ นสพ.อีก 2 ฉบับ นอกจากนั้นคณะฯยังได้รับเกียรติสูงสุดให้วางพวงมาลาเคารพท่านประธานโฮจิมินห์ ที่สุสานกลางกรุงฮานอย โดยจัดทหารแถวเกียรติยศนำพวงมาลา  มีป้ายชื่อสื่อมวลชนประเทศไทย  ระดับแถวสูงเทียบเท่าผู้นำประเทศที่ใช้ปฏิบัติกัน ท่ามกลางสายตาของประชาชนชาวเวียดนามและต่างชาตินับหมื่นคนที่เดิน ทางมาเคารพศพท่านประธานโฮจิมินห์

คุณลุงมินห์ ไกด์ตลอดกาลของพวกเรา อดีตของท่านคือ ช่างภาพ-นักหนังสือพิมพ์ ผู้เคยผ่านการถ่ายภาพ-ทำข่าวสมรภูมิเวียดนามมาแล้วอย่างโชกโชน มีความสนิทสนมกับสื่อเกือบทั่วภูมิภาคของไทยครับ แม้วัยจะกว่า 70 ปีแล้ว แต่ยังฟิตเปรี๊ยะแข็งแรงมาก ไม่ว่าจะขึ้นรถ ลงเรือ ไปเหนือ ล่องใต้ ลุงมินห์เดินปร๋อนำหน้าก่อนเลย พอถามโด๊ปอะไรครับ ลุงมินห์บอก ‘มียาดี’ เราก็ลืมถามว่ายาอะไร..อิอิ

‘นครฮานอย’ ซึ่งแป็นเมืองหลวงตั้งอยู่ทางภาคเหนือของเวียดนาม มีประชากรประมาณ 6.5 ล้านคน(น้อยกว่า กทม.ครึ่งต่อครึ่ง) บ้านเมืองกำลังพัฒนาไปในทิศทางชนิดที่ไทยแลนด์ต้อง ‘มองค้อน’ กันเลยที่เดียว และถือเป็นคู่แข่งที่เราจะประมาทไม่ได้เลย  อยากจะบอกกับท่านว่า ประเทศเขาสงบเงียบ ไม่มีปัญหาเรื่องการเมือง แบ่งสีแบ่งฝ่าย แถมปกครองด้วยระบบสังคมนิยม ลองแหยมซิ ไม่ถูกโป้งๆกลางถนนก็ติดคุกหัวโต เมื่อเป็นดังนี้ใครมันจะไปกล้าหือ บ้านเมืองก็เลยสงบเงียบ ผู้คนจากต่างทิศทั่วแดนเลยอยากไปเที่ยว รายได้จากการท่องเที่ยวจึงตามมา นี่แหละเวียดนามครับ

ผมขอแทรกเรื่องการจราจรในกรุงฮานอยและจังหวัดสำคัญๆของเวียดนาม ที่ ‘มอร์ไซค์’ ยังครองความเป็น ‘จ้าวถนน’ ส่วนรถเก๋ง ระดับหรูๆอย่าง เล๊กซัส เบนซ์ บีเอ็ม และอีกหลายยี่ห้อ ก็วิ่งกันขวักไขว่ ที่น่าแปลกคือ ไม่ว่าจะยี่ห้อแพงแสนแพงขนาดไหน เขามักจะไม่ล้างให้วาววับเหมือนรถหรูๆบ้านเรา  ส่วนการจราจรก็แสนจะสับ สนวุ่นวาย เสียงบีบแตรดังลั่นตลอดเวลา จะข้ามถนนในแต่ละครั้งต้อง ‘วัดใจ’ ทั้งคนขับรถและคนข้ามถนน ไม่งั้นข้ามถนนไม่ได้ครับ กล้าๆหน่อยละกันถ้าคิดจะข้ามถนนที่เวียดนาม

ผมชื่นชมคนเวียดนามอีกอย่างก็คือ ประชาชนของเขาจะขยันมาออกกำลังกายกันมาก ทั้งเช้าทั้งเย็นตามสวนสาธารณะที่มีมากมายจนนับไม่ถ้วน แล้วเขาก็ดูแลกันเป็นอย่างดี สังเกตต้นไม่ใบดอก แทบจะไม่เห็นแห้งเหี่ยว เฉี่ยว เฉาตายเหมือนบ้านเราเลย  ผมอยากรู้นักว่า ข้าราชการไทยที่ชอบผลาญเงินภาษีชาวบ้านออกไปดูงานต่างประเทศบ๊อยบ่อย พวกนี้มีจิตสำนึกที่ไปดูแล้วจะนำกลับมาพัฒนาบ้านเกิดเมืองนอนของตัวเองหรือไม่ หรือไปเพื่อความสนุกสนาน ‘ผลาญเงิน’ อย่างเดียว !!

การมาของคณะสื่อมวลชนจากเชียงใหม่-เพชรบูรณ์ครั้งนี้  ก็อย่างที่ได้บอกไว้ คือ รับเชิญจากสมาคมนัก หนังสือพิมพ์แห่งนครฮานอยและอีก 4 จังหวัดทางภาคเหนือของเวียดนาม เพื่อเชื่อมความสัมพันธ์พร้อมกับบันทึกข้อตกลงและความเข้าใจอันดี (MOU) ระหว่างสื่อทั้ง 2 ประเทศ  ทางเจ้าภาพที่พวกเราเดินทางไปเยี่ยมชม ต่างได้รับการต้อนรับเทียบเท่าแขกระดับรัฐบาลเลยครับ หลังการศึกษาดูงานในแต่ละสำนักข่าว เจ้าภาพได้จัดเลี้ยงต้อนรับด้วยอาหารในแต่ละท้องถิ่น จนพวกเราอึ้งเพราะไม่คิดว่าเขาจะดูแลคณะของเราได้ขนาดนี้

และทุกมื้อ ไม่ว่าจะกลางวันหรือมื้อค่ำ ที่ขาดไม่ได้ก็คือ การชนแก้ว หรือภาษาเวียดนามว่า ‘จั๊มปะจั๊ม’ ด้วยวอดก้า ไม่ก็เหล้าท้องถิ่นที่รสชาติแรงมาก หรือเบียร์เวียดนาม ชนิดใครดีใครอยู่ ผมซึ่งไม่ค่อยจะดื่ม เจอเข้าแบบนี้ถึงกับ ‘จับไข้’ ไปหลายวัน นอกจากสุรายาดอง สิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับทริปเวียดนาม ก็คือ ‘กาแฟ’ เมื่อแวะพักระหว่างการเดินทาง เจ้าภาพจะหาร้านกาแฟดีๆให้คณะได้นั่งจิบ แกล้มกับเมล็ดทานตะวัน ก็ยังสงสัยไม่หายทำไมคนเวียดนามถึงชอบแทะเมล็ดทานตะวันก็ไม่รู้

ตอนที่พักอยู่กลางกรุงฮานอย หลังมื้อค่ำผมลองเดินดูแสงสีราตรีของเมือง ตามฟุตบาทไหล่ทางจะเห็นวัยรุ่นหนุ่ม-สาวนั่งจับกลุ่มล้อมวงนั่งบนเก้าอี้ตัวเล็กๆหรือที่คนเหนือเรียก ‘ก้อม’ จิบน้ำชากาแฟ แทะเมล็ดทานตะวันไปด้วย แต่ไม่เห็นมีเครื่องดื่มประเภทแอลกอฮอร์เลยครับ อีกอย่างที่นิยมกินกันก็คือ ‘สารพัดหอย’ ทั้งหอยขม หอยลาย หอยแครง หอยหวาน หอยตลับ ที่แม่ค้าเอามาลวกขายพร้อมกับน้ำจิ้มรสเด็ด ช่วงเวลานี้ถ้าเป็นวัยรุ่นหนุ่มสาวบ้านเรา ดื่มกินอะไรให้ท่านลอง ‘มโน’ กันเอง…อิอิ

ตลอด 5 คืน 6 วันใน 5 เมืองทางเหนือของเวียดนาม ผมและคณะได้รับความสุข ความรู้ ความเข้าใจอันดี ที่เจ้าภาพได้หยิบยื่นให้ ด้วยมิตรภาพและความจริงใจ ผมถึงได้บอกตลอดเวลาว่า ‘คนเวียดนาม’ คือ ‘มิตรแท้’ ที่มีความจริงใจกับพวกเราตลอดระยะเวลาที่ได้ผูกพันกันมา และทุกครั้งที่คณะของเขาได้เดินทางมาเยี่ยมเยือนพวกเราที่เชียงใหม่หรือจังหวัดอื่นๆ ก็ได้รับการต้อนรับด้วยดีเสมอกัน

และนี่คืออีกหนึ่งภารกิจของสมาคมนักจัดราย การวิทยุโทรทัศน์และผู้สื่อข่าวเชียงใหม่ ที่ได้ร่วมผสานความเข้าใจระหว่างประเทศกับประเทศให้แนบแน่นยิ่งขึ้น แม้จะเป็นเพียงจุดเล็กๆ แต่ทว่านี่ก็คืออีกบริบทที่พวกเราได้ทำแล้ว และยังคงจะดำเนินตามแนวทางนี้กันต่อไป…สวัสดี

 

จิรชัย คงคาดิษฐ

แท็ก คำค้นหา