กงสุลใหญ่จีนพบสื่อมวลชนเชียงใหม่ เผยความสำเร็จ70 ปีแห่งการสถาปนาครบรอบ 70 ปีสาธารณรัฐประชาชนจีน

กงสุลใหญ่จีน ประจำเชียงใหม่ “เหริน ยี่เซิง”
ยืนยันนักท่องเที่ยวจีนยังมาไทยไม่ลดเกิน 10 ล้านคน
แต่เปลี่ยนการท่องเที่ยวในรูปแบบทัวร์ไปมาก เป็นมาเที่ยวกันเอง จองโรงแรมพักกันเอง
เมื่อเวลา 09.30 น.วานนี้(24พ.ค.)ที่ห้องประชุมเพชรัตน์ชั้น 3 โรงแรมดิเอ็มเพรสเชียงใหม่ นายเหริน ยี่เซิง กงสุลใหญ่สาธารณรัฐประชาชนจีน ประจำเชียงใหม่ ร่วมกับ กงสุลสวี เซี่ยน และกงสุล มร.จาง ที่ปรึกษาการพาณิชย์ พร้อมเจ้าหน้าที่สำนักงานกงสุลใหญ่ฯจัดวาระการประชุมพบปะสื่อมวลชนเรื่อง “ความสำเร็จอันรุ่นโรจน์ครบรอบ 70 ปี แห่งการสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีน กับความร่วมมือระหว่างประเทศ ตามนโยบาย หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง” โดยมีนางรพีพร มีสอาด ผอ.สำนักประชาสัมพันธ์เขต 3 เป็นผู้ประสานการเชิญสื่อมวลชนเข้าร่วมงาน โดยกงสุลใหญ่เหริน ยี่เซิง ได้บรรยายสรุปถึงการพัฒนาเศรษฐกิจสังคมของจีน ในห้วง 70 ปี และความเจริญรุ่งเรืองนับแต่เปิดประเทศเมื่อ 40 ปีก่อนมาถึงบัดนี้มากมาย โดยเฉพาะนโยบายของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง “หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง” ที่มีความร่วมมือจากนานาประเทศถึง 150 ประเทศ

นายเหริน ยี่เซิง กล่าวว่า นับแต่ปี ค.ศ.1978 หรือ 40 ปีที่จีนมีนโยบายเปิดประเทศ ทำให้ชาวจีนมีฐานะดีขึ้น และมีความสุข เพราะนโยบาย 2 ด้านคือ ปฏิรูปภายในประเทศ และเปิดประเทศสู่สากล จะเห็นว่าในอดีตชาวจีน 800 ล้านคนเป็นชาวนา สมัยนั้นที่ดินที่อยู่อาศัยถือเป็นทรัพย์สินสาธารณะ ทำให้ประชาชนไม่กระตือรือร้นในการผลิต สภาพความยากจนมีทั่วไป ถึงจะปลูกข้าวก็กินไม่อิ่ม คนอาศัยอยู่บ้านดิน ฯลฯ รัฐบาลจึงหันมาส่งเสริมชาวนาให้เร่งผลผลิตทั้งข้าว และอาหาร ตลอดถึงเทคโนโลยีสมัยใหม่อย่างเต็มกำลัง ใช้เครื่องจักรเข้ามา อนุญาตให้นักลงทุนเข้ามา ทำให้การผลิตดีขึ้นกว่าเดิม ชาวนานอกเมืองก็พยายามเข้ามาหากินในเมือง ขณะที่รัฐบาลก็หันไปพัฒนาชนบท สร้างรถไฟความเร็วสูงออกไปนอกเมือง เกิดการจ้างงาน และพัฒนาชนบทมากมาย คนชนบทก็กลับไปบ้านเกิด อากาศก็ดี และสาธารณูปโภคต่างๆเจริญขึ้น “ตั้งแต่ปฏิรูปประเทศมา ปรับระบบการเมืองทั้งหมด การพัฒนาเข้าถึงทุกมณฑล และที่เป็นผลสำเร็จอย่างสูงคือการเปิดเขตเศรษฐกิจพิเศษในปี 1979 ที่เมืองเสินเจิ้น จากหมู่บ้านประมงเล็กๆ กลายมาเป็น 1 ใน 4 เมืองใหญ่ที่เจริญที่สุดของจีนนับแต่ปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ และกวางโจว”

กงสุลใหญ่จีน ประจำเชียงใหม่ กล่าวว่า นับแต่ปี ค.ศ.1978-2018 จีดีพี.(ผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ)เพิ่มเป็น 225 เท่า (พร้อมกับโชว์ภาพอดีต-ปัจจุบัน)เซี่ยงไฮ้ในอดีตที่เป็นทุ่งนา วันนี้มีแต่ตึกระฟ้า หอสูงที่สุดเมื่อปี 2016 เคยพาคณะสื่อมวลชนเชียงใหม่ไปชมนั้นตกรุ่นไปแล้ว เพราะมีหอคอยใหม่สูงกว่าเดิม จากนโยบายของรัฐจะให้ประชาชนพ้นจากความยากจน 770 ล้านคน มาถึงปีที่แล้ว 2018 ลดลงเหลือแค่ 16.6 ล้านคน และจะทำให้เหลือ 6 ล้านคน ซึ่งในปีหน้าก็จะหมดไป สังคมก็จะอยู่ดีมีสุขภาวะ
กงสุลใหญ่ เหริน ยี่เซิง กล่าวถึงนโยบายที่ 3 ของจีน คือการพัฒนาการผลิต และแข่งขัน เมื่อเศรษฐกิจจีนเติบโตมาก แต่จะทำอย่างไรให้เหมาะสมกับสถานการณ์ของชาวจีน จากการลบความขัดแย้ง และความเหลื่อมล้ำทางสังคมอันเนื่องจากความยากจนได้ ทำให้ปัญหาความขัดแย้งในธิเบตก็จบลง ความแตกต่างระหว่างเมืองกับชนบทลดลง ซึ่งเป็นผลจากการปฏิรูปอย่างลึกซึ้ง ซึ่งจีนยังจะเดินหน้าต่อตามแผนระยะ 20 ปีสองช่วง 2022-2049 จะพัฒนาประเทศไปสู่การอยู่ดีกินดี มีสันติสุข มีชีวิตที่ดีขึ้นใน 20 ปีข้างหน้าแน่นอน

กงสุลใหญ่จีนประจำเชียงใหม่ ได้บรรยายถึงความเติบโตทางเศรษฐกิจ การคมนาคมด้วยรถไฟความเร็วสูงที่เชื่อมโยงไปทุกมลฑล เศรษฐกิจจึงเติบโตระดับ 9.9% และบางปีมากกว่านั้น ทำให้จีนมีสะพานข้ามทะเลที่ยางที่สุด สะพานข้ามภูเขาที่สูงที่สุดระดับ 300 เมตรของเสา มีการส่งดาวเทียมขึ้นไปดวงจันทร์ มีการพัฒนาเทคโนโลยีทุกด้านโดยเฉพาะไอที. ซึ่งภาคเอกชนอย่าง Huwei นำหน้าไปแล้ว จนกระทั่งสหรัฐอเมริกาอิจฉา เกรงว่าจะล้ำหน้า จึงนำมาสู่การกีดกันสินค้า ตั้งแพงภาษีสินค้า ทำให้เกิดสงครามการค้า ซึ่งไม่กระทบกับจีนเท่าใดนัก แม้จะไม่ส่งออกจีนก็บริโภคภายในได้ แต่ผลกระทบกลับไปตกกับอเมริกาเอง ผู้ประกอบการ 77 รายใหญ่กำลังขอลดภาษี ประเทศอื่นๆ ที่พึ่งพาการส่งออกได้รับผลกระทบ ในอาเซียนก็ได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะประเทศไทย ซึ่งก็เป็นเรื่องน่าห่วงใยมาก และไม่ทราบผลจะออกมาอย่างไร ในเมื่อมีสงครามทุกอย่างก็ย่อมได้รับผลกระทบนั้นแน่นอน แต่ตนเห็นว่าประเทศไทยไม่ควรเย็นใจ จะต้องปรับกลยุทธในการพัฒนา แสวงหาความร่วมมือ เชิญนักลงทุนเข้ามา และแบ่งปันผลประโยชน์เท่าเทียมกัน ก็จะกระตุ้นเศรษฐกิจได้

หลังจากเสร็จบรรยายแล้วได้มีการตอบคำถาม พอสรุปได้ว่า จำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่ออกไปเที่ยวต่างประเทศปีละ 150 ล้านคน มาเมืองไทย 10 ล้านคนก็ถือว่าเป็น 1ใน 10 จำนวนก็ไม่ได้ลดลง แต่ผู้ประกอบการโรงแรมเห็นว่าลด แท้จริงชาวจีนนิยมมาเที่ยวและพักตามอพาร์ทเมนท์ต่างๆ ซึ่งมีมากมาย ส่วนชาวจีนที่มาพำนักและเรียนหนังสือในภาคเหนือ คาดว่ามีราว 7 หมื่นคน ทางการจีนส่งครูมาสอนภาษาจีนในเมืองไทยขณะนี้ 1,600 คนถือว่ามากที่สุด ขณะเดียวกันมหาวิทยาลัยหลายแห่งในจีนก็เปิดสอนภาษาไทย สำหรับการลงทุนของเอกชนจีนในไทยนั้น ยังไม่มีข้อมูล และที่ห่วงใยว่า อาจจะมีการหลอกลวงหรือเสียหายนั้น ก็เชื่อว่าไทยมีกฎหมายคุ้มครองอยู่แล้ว ส่วนประเด็นสงครามการค้าจีน-อเมริกา นายเหริน กล่าวว่า ตนก็เคยไปอยู่อเมริกา 6 ปี เรียนรู้วัฒนธรรมของเขา เน้นตัวบุคคล เน้นการแข่งขัน แต่การตั้งกำแพงภาษีแบบนี้ผิดกฎกติกาสังคม ต่างกับการแข่งขันกีฬาต้องอยู่ในเกม และมีมิตรภาพ
อย่างไรก็ตามจีนพัฒนาเศรษฐกิจต่อเนื่อง มีแนวโน้มดีในอนาคต แม้อเมริกากดดันอย่างไร GDP.ก็เพิ่ม HUWEl ก็นำหน้าเขา 2-3 ปี แต่มีข่าวสารที่บิดเบือนว่าจะทำการยกเลิกผลิตซิมหูเหว่ยนั้นก็ไม่จริง ยังมีความร่วมมือกันเหมือนเดิม วันนี้การค้าภายในของจีนมีมากถึง 7 เท่า ถ้าจีนลดการส่งอกก็ไม่กระทบมาก แต่ผลกระทบกับเอเชีย และประเทศต่างๆ จะทำให้ราคาน้ำมันลดลง ความสามารถการบริโภคลดลง ไทยก็จะมีปัญหาเหมือนตะวันออกกลาง เศรษฐกิจทรุดตัวลง ทั้งนี้เป็นเพราะการกระทำของฝ่ายอนุรักษ์นิยม ดังนั้น ประเทศไทยควรจะเร่งแผนพัฒนา การทำโครงสร้างพื้นฐาน การเชื่อมโยงโลจิสติกส์ การขนส่ง การค้า และการเชื่อมโยงการศึกษาและวัฒนธรรมให้มากขึ้น คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจของอาเซียนในปี 2519 น่าจะเพิ่มเป็น 5.9%ได้