ประชุมความร่วมมือไทย-เมียนมา ครั้งที่ 8

รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทยและรัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศสาธารณรัฐแห่งเมียนมา ร่วมประชุมความร่วมมือไทย-เมียนมา ครั้งที่ 8 บรรลุข้อตกลงทุกด้าน
พลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และ นายวันนะ หม่อง ลวิน รัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศสาธารณรัฐแห่งเมียนมา ร่วมประชุมความร่วมมือไทย-เมียนมา ครั้งที่ 8 ที่โรงแรมแชงกริลา จังหวัดเชียงใหม่ โดยมีตัวแทนที่เกี่ยวข้องร่วมประชุม หลังจากนั้น นายเสข วรรณเมธี อธิบดีกรมสารนิเทศ และโฆษกกระทรวงการต่างประเทศได้แถลงผลการประชุมต่อสื่อมวลชนว่า การประชุมดังกล่าวประสบความสำเร็จในการกระชับความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นของสองประเทศและขยายความร่วมมือในทุกมิติ โดยเฉพาะปลายปีนี้จะเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน จะมีการจัดตั้งประชาคมอาเซียน อันมีประชาชนเป็นศูนย์กลาง ไทย-เมียนมาจะจับมือขับเคลื่อนประชาคมอาเซียน โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศแห่งสาธารณรัฐเมียนมาได้ถวายพระพรชัยมงคลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถให้ทรงมีพระพลานามัยแข็งแรงและเตรียมถวายการต้อนรับสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี ซึ่งจะเสด็จเยือนพม่าในเดือนตุลาคมนี้ ซึ่งการประชุมครอบคลุมในทุกมิติทั้งการเมือง เศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม ซึ่งฝ่ายไทยยืนยันเจตนารมณ์สนับสนุนการปฏิรูปของพม่า และจะผลักดันจุดผ่อนปรนผ่านแดน อีกทั้งแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านยาเสพติดตามแนวชายแดน และร่วมมือการแก้ปัญหาการค้ามนุษย์ โดยจะส่งเสริมการค้า การลงทุนตั้งเป้ามูลค่ารวม 10-12 พันล้านเหรียญสหรัฐต่อปีในปี 2560 มุ่งเน้นการค้าการลงทุนชายแดน เชื่อมโยงการคมนาคม อีกทั้งเห็นพ้องเร่งรัดเจรจาตกลงการทำธุรกรรมการเงินข้ามแดน อนุญาตให้ธนาคารกรุงเทพไปเปิดสาขาที่กรุงย่างกุ้ง อีกทั้งจะจัดการพัฒนาการจัดการประมงอย่างยั่งยืน ต่ออายุสิทธิการประมงไทยที่ถูกต้องตามกฎหมาย พัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษทวาย โดยมีการตกลงยกเว้นตรวจลงตราหนังสือเดินทางหรือวีซ่า ประชากรไทยและเมียนมาโดยเครื่องบินสามารถอยู่ได้ 14 วันโดยไม่ต้องขอวีซ่า ตั้งแต่วันที่ 11 สิงหาคม 2558 เป็นต้นไปประเทศไทยเป็นคู่ค้าอันดับสองของเมียนมา สินค้านำเข้าไทย จากเมียนมาได้แก่ ก๊าซธรรมชาติ ไม้ซุง เนื้อสัตว์ ผัก ผลไม้ ส่วนสินค้าส่งออกจากไทยไปเมียนมา ได้แก่น้ำมันสำเร็จรูป เครื่องดื่ม เหล็ก มูลค่าปีละกว่า 5 พันล้านเหรียญสหรัฐ